การทำงานยุคใหม่ได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงหลังโควิด-19 โดยเฉพาะพฤติกรรมการทำงานของคนรุ่นใหม่ที่หันมาให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่นและสมดุลชีวิตมากขึ้น แนวคิด Hybrid Workplace จึงกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของหลายองค์กร เพราะช่วยเพิ่มอิสระในการทำงานและส่งเสริมประสิทธิภาพได้พร้อมกัน
อย่างไรก็ตาม ความยืดหยุ่นรูปแบบนี้ก็นำมาซึ่งความท้าทายใหม่ของฝ่าย HR นั่นคือ การออกแบบสวัสดิการพนักงานที่ตอบโจทย์พนักงานทุกกลุ่ม และยังต้องสอดคล้องกับวิสัยทัศน์องค์กร เพื่อให้การทำงานแบบ Hybrid กลายเป็นรากฐานที่ช่วยผลักดันการเติบโตอย่างยั่งยืน ไม่ใช่ภาระในการบริหารจัดการ
Hybrid Working Model คืออะไร?
Hybrid Working Model คือรูปแบบการทำงานที่ผสมผสานระหว่างการเข้าออฟฟิศและการทำงานทางไกล โดยยึดความยืดหยุ่นเป็นหลัก องค์กรอาจกำหนดจำนวนวันที่ต้องเข้าที่ทำงาน หรือเปิดให้พนักงานเลือกสถานที่ทำงานเองตามลักษณะงาน
นอกจากจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพแล้ว โมเดลนี้ยังช่วยยกระดับ Employee Experience เพราะตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนทำงานยุคใหม่ที่ต้องการ Work-life Integration มากขึ้น และยังช่วยให้องค์กรเข้าถึง Talent ได้หลากหลายกว่าเดิม
บทบาทใหม่ของ HR ในยุค Hybrid Workplace
เมื่อรูปแบบการทำงานเปลี่ยนไป บทบาทของ HR ก็ต้องเปลี่ยนตาม จากผู้ดูแลทรัพยากรบุคคลแบบดั้งเดิม สู่การเป็น People Strategist ที่ขับเคลื่อนองค์กรผ่านนโยบายและระบบที่รองรับการทำงานแบบ Hybrid อย่างแท้จริง
1. ออกแบบนโยบายที่ยืดหยุ่นและมีความชัดเจน
องค์กรต้องมีแนวทางการทำงานที่ตอบโจทย์ความยืดหยุ่น เช่น
- Core Hours หรือช่วงเวลาหลักที่ทุกคนต้องพร้อมทำงาน
- Hybrid Work Agreement ที่ระบุขอบเขตและเงื่อนไข
- การประเมินผลที่เน้น Performance-Based มากกว่าเวลาเข้าออกงาน
นโยบายเหล่านี้ช่วยให้พนักงานมั่นใจว่าการทำงานแบบ Hybrid มีมาตรฐานและยุติธรรมกับทุกฝ่าย
2. ใช้เทคโนโลยีสนับสนุนการทำงานร่วมกัน
Hybrid Workplace ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ หากไม่มีเทคโนโลยีที่เหมาะสม HR จำเป็นต้องเลือกใช้เครื่องมือ เช่น
- Collaboration Tools
- HRIS
- Virtual Engagement Platforms
รวมถึงแพลตฟอร์มบริหารสวัสดิการดิจิทัลอย่าง WellExp ที่ช่วยให้พนักงานใช้สวัสดิการได้สะดวกไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน พร้อมข้อมูลที่โปร่งใสและตรวจสอบได้แบบเรียลไทม์
3. อัปเดตสวัสดิการให้สอดคล้องกับการทำงานแบบ Hybrid
การออกแบบสวัสดิการต้องคำนึงถึงพนักงานที่ทำงานได้ทั้งในและนอกออฟฟิศ เช่น
- ค่าอินเทอร์เน็ตหรืออุปกรณ์สำนักงานที่บ้าน
- โปรแกรมสุขภาพจิต (Mental Well-being)
- สิทธิ์เข้าใช้บริการหรือกิจกรรม Well-being แบบออนไลน์และออฟไลน์
สวัสดิการต้อง “ยืดหยุ่น ใช้ได้จริง และเข้าถึงได้ทุกที่” เพื่อให้พนักงานทุกคนได้รับประโยชน์จากองค์กรอย่างเท่าเทียม
4. รักษาและเสริมสร้างวัฒนธรรมองค์กรให้แข็งแรง
Hybrid Model ทำให้พนักงานไม่ได้อยู่ที่เดียวกันเสมอ HR จึงต้องสร้างวัฒนธรรมที่เชื่อมคนทำงานเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ผ่านกิจกรรม Engagement ทั้งแบบ Virtual และ Onsite รวมถึงการเสริมทักษะผู้นำในยุค Hybrid ซึ่งจะมีผลต่อการสร้างความผูกพันในทีมระยะยาว
การสื่อสารแบบเปิดกว้างและการยกย่องพนักงานอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้วัฒนธรรมองค์กรยังคงแข็งแรงแม้ทีมจะทำงานจากหลายสถานที่
สวัสดิการที่ดีคือหัวใจของ Hybrid Workforce ยุคใหม่
การทำงานแบบ Hybrid ไม่ใช่แค่เรื่องการจัดตารางงานให้ยืดหยุ่น แต่เกี่ยวข้องกับการสร้าง ประสบการณ์พนักงาน (Employee Experience) ที่มีคุณภาพในทุกจุดสัมผัส ตั้งแต่การทำงานร่วมกัน ไปจนถึงการดูแลสุขภาพและคุณภาพชีวิตของพนักงาน
องค์กรที่ออกแบบกลยุทธ์ Hybrid Workplace ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีสวัสดิการที่ตอบโจทย์การทำงานแบบยืดหยุ่น จะสามารถดึงดูดและรักษาคนเก่งไว้ได้ พร้อมเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในยุคที่รูปแบบการทำงานไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
แพลตฟอร์มอย่าง WellExp จึงเข้ามาช่วยให้องค์กรจัดการสวัสดิการได้ง่าย โปร่งใส และปรับให้เหมาะกับ Workforce ที่หลากหลายได้อย่างมีประสิทธิภาพ